ค่าสาธารณะ คอนโด เก็บน้อยเกินไปก็ไม่ถูกต้อง มากเกินไปก็ไม่ได้
“ค่าส่วนกลาง” เป็นค่าใช้จ่ายที่เด่นมากของผู้ที่ซื้อคอนโดมิเนียม หรือไม่ก็เจ้าของห้องชุดที่ต้องช่วยกันจ่ายส่วนนี้ ถ้าสังเกตจักเห็นได้ว่าแต่เดิมที่เราซื้อโครงการคอนโดใหม่มา ทางโครงการก็จักปริปาก ใช่ไหมมีสิ่งพิมพ์การขายกำหนดอัตราค่าส่วนกลางไว้แล้ว ว่าจะเก็บตารางเมตรละเท่าใดอะไรอย่างไรมั้ง ซึ่งอัตราจัดเก็บส่วนนี้ ศักยเปลี่ยนแปลงไม่ก็แก้ไขได้ แต่ต้องเป็นอยู่ในมติของที่ทรสองทรสุมใหญ่ค่าส่วนรวมของคอนโด นั้น จนถึงเทียบค่ากับบ้านจัดสรรแล้ว จักแพงกว่าอย่างเห็นได้ชัด เนื่องแต่โครงการคอนโดฯ จักมีสิ่งที่เอื้ออำนวยความคล่องต่างๆ ที่ใช้ร่วมกันมากกว่า ไม่ก็มีเหตุที่ให้ต้องใช้จ่ายมากกว่า เช่น ค่าจ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย, เงินเดือนพนักงานเก็บขยะ, ค่ากำเหน็จแม่บ้าน, ราคาไฟฟ้าในบริเวณที่เป็นพื้นที่ของส่วนกลาง อย่างลิฟต์, บันได, ค่าไฟที่อยู่นอกห้องชุด (ค่าไฟ, แอร์และโทรทัศน์บริเวณล็อบบี้) , ค่าเครื่องมือเครื่องใช้ไม้สอยทำความหมดจด อื่นๆ
โดยทุกครั้งในวันโอนกรรมสิทธิ์ผู้ซื้อมักจักต้องชำระ “ค่าสาธารณะล่วงหน้า” ซึ่งทั่วไปแล้วกะเกณฑ์เอาไว้ 1-2 ปี ส่วนอัตราเท่าไหร่นั้นก็แล้วแต่โครงการจักกำหนด นิติบุคคลอาคารชุดแต่ละแห่งจะมีมาตรการในการจัดเก็บค่าสาธารณะไม่เหมือนกัน แล้วแต่ข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดนั้นๆ เงินจัดเก็บเพราะว่าค่าสาธารณะนี่กฎหมายหมายไว้ให้อาจนำไปเป็นค่าใช้จ่ายจำพวก “บริการสาธารณะ” ได้ แต่ทั้งนี้ต้องเท่านั้นในกรณีที่ผู้จัดสรรที่ดินได้เขียนเรื่องประกอบไว้ในแบบอย่างงานโครงการ ด้วยกันวิธีการจัดสรรว่าจะเรียกเก็บมูลค่าบริการสาธารณะจากผู้ซื้อที่ดินจัดสรร ตามอัตราที่ได้รับอวยจากคณะผู้ชี้ขาดจัดสรรที่ดินที่คัดลอกไว้ในขั้นตอนการยื่นคำขอจัดสรรเท่านั้น
เว้นเสียแต่นี้ยังมีรายจ่ายที่เกิดจากการทำงาน หรือไม่การดูแลบริหารการจัดการของเงินทองส่วนกลางด้วย เช่นเงินเดือนของผู้จัดการฝ่ายนิติบุคคลอาคารชุด มูลค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเครื่องใช้กับวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ในสำนักงานนิติบุคคลอาคารชุด กินความค่าใช้สอยที่ไม่ประจำ เช่น ค่าแก้ไขระบบไฟฟ้า ประปา เป็นต้น
กิจการงานของเจ้าของห้องชุดคอนโด ที่ต้องคลี่คลายค่าส่วนกลางทุกเดือนจำนวนมากรับรู้ กันทั่วไปแล้ว แต่ที่ยังมีคำถาม อยู่บ้างคือข้อสงสัยที่ว่าทำไมค่าสาธารณะถึงแพงจัง ?
อัตราค่าศูนย์กลาง จะถูกเหรอแพงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยหลายเหตุผล สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการที่มากน้อยไม่เท่ากัน จึงทำให้ค่าศูนย์กลางแต่ละแผนการไม่เท่ากัน ถ้ามีสิ่งอำนวยความปลอดภัยมากค่าส่วนกลางก็สูง เรียกว่าใช้มากก็ต้องจ่ายมากทำนองนั้น นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับระดับหรือไม่ก็หมู่คอนโดด้วย เช่น แผนไฮเอนด์หรูๆ แน่นอนค่าส่วนรวมก็ต้องแพง เพราะมาตรฐานในการบริหารจัดการอาคารหรือไม่พื้นที่ส่วนกลางต้องสูงไปตามระดับ จำนวนยูนิตในแต่ละโครงการก็มีผลเช่นกัน โครงการที่จำนวนยูนิตน้อยค่าส่วนกลางจักสูง เพราะตัวหารเกลี่ยน้อยกว่า
เชื่อได้เลยว่า ถ้าเโจษจันกได้ทุกคนก็คงเร่ำลือกคอนโดฯ ที่ค่าส่วนกลางถูกกว่าอย่างแน่นอน แต่ในความนักนั้นคอนโดฯ ที่ค่าส่วนกลางต่ำๆ ก็ไม่ใช่คำตอบที่ถูกที่ควรที่สุดเสมอไป เพราะถ้าสาธารณะมันต่ำเกินไป ก็อาจทำให้การบริหารจัดการ หรือว่าการดูแลอาคาร พร้อมด้วยพื้นที่สาธารณะทำได้ไม่เต็มที่ หรือบริหารกันไปแบบตามมีตามเกิด เสมือนสายการบินโลว์คอส ที่จะทำอะไรก็ต้องมัธยัสถ์ไว้ก่อน
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ แทบจักไม่มีคอนโด ไหนที่ศักยเก็บค่าส่วนกลางได้ 100% เต็มเพราะว่าไม่มีการค้างจ่าย ฉะนั้นแล้วค่าส่วนกลางที่จักกำหนดอัตราจัดเก็บไว้แล้ว เอาเข้าแท้จริงก็ได้ไม่ครบไม่ใช่หรือไม่พอก็มี แต่ถ้าสูงเกินไปก็ไม่ดีเพราะจะเป็นต้นทุนของเจ้าของห้องชุด ยิ่งแม้เราซื้อเพื่อ ปล่อยเช่าแล้วค่าใช้จ่ายส่วนนี้มากเกินไปก็จักไปลิดรอนผล ตอบแทนให้ลดลงได้ แนวคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับโสหุ้ยศูนย์กลางในกรณีที่เป็น
การซื้อคอนโดฯ เพื่อ ยอมเช่านั้น ก็คือจะจ่ายมากหรือจ่ายน้อยก็ขึ้นอยู่กับค่าเช่าที่เก็บได้เป็นหลัก ถ้าเก็บค่าเช่าได้น้อย รายการจ่ายในส่วนนี้ก็ต้องน้อยตามลงไปด้วย แต่ถ้าเก็บค่าเช่าได้มากถึงค่าส่วนกลาง ค่าส่วนกลางจักสูงไปสักหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ในกรณีที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง อันนี้น่าจะขึ้นอยู่กับความพึงพอใจกับความอาจในการจ่ายมากกว่า อยู่คอนโดแบบหรูก็ต้องยอมรับว่าต้องจ่ายแพงกว่า ถ้าไม่ต้องประสงค์จ่ายแพงก็คงต้องเสาะคอนโดฯ ถูกๆ ค่าส่วนรวมต่ำๆ อยู่กันไป
การไม่ชำระค่าศูนย์กลางมีผลเสียมากมายต่อเจ้าของร่วมทุกคน ทางที่ดีควรปฏิรูปตามกำหนดไปเถอะครับ พร้อมกับร่วมกันปกครองจัดการไม่ก็ตรวจสอบบัญชีจะเป็นการดีกว่า การเก็บค่าสาธารณะของนิติบุคคลเก็บไปก็เพื่อประโยชน์ในการดูแลใช้จ่าย ปฏิสังขรณ์ปรับปรุงทรัพย์ส่วนรวมให้เป็นได้ใช้งานได้นานๆ กับทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยในที่อยู่อาศัยของเราเอง
ขอขอบคุณ : cmc.co.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น